คำศัพท์ :
ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ พิมพ์ครั้งที่ 31 [คลิก]
คำศัพท์ : ตุลา

ตราชู, ประมาณ, เกณฑ์วัด, มาตรฐาน, ตัวแบบ, แบบอย่าง; สาวกหรือสาวิกา ที่พระพุทธเจ้าตรัสยกย่องว่า เป็นตราชู หรือเป็นแบบอย่างในพุทธบริษัทนั้นๆ อันสาวกและสาวิกาทั้งหลาย ควรใฝ่ปรารถนาจะดำเนินตาม หรือจะเป็นให้ได้ให้เหมือน คือ ๑. ตุลา สำหรับภิกษุสาวกทั้งหลาย ได้แก่ พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ ๒. ตุลา สำหรับภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายได้แก่ พระเขมา และพระอุบลวรรณา ๓. ตุลา สำหรับอุบาสกสาวกทั้งหลายได้แก่ จิตตคฤหบดี และหัตถกะอาฬวกะ ๔. ตุลา สำหรับอุบาสิกาสาวิกาทั้งหลาย ได้แก่ ขุชชุตราอุบาสิกา และเวฬุกัณฏกีนันทมารดา

นอกจากพุทธพจน์ที่แสดงหลักทั่วไปแล้ว (อง.ทุก.20/375-378/110-111; อง.จตุกก.21/176/221) บางแห่งตรัสสอนวิธีปฏิบัติประกอบไว้ด้วย ดังพุทธโอวาทที่ว่า (สํ.นิ.16/569-570/276) “พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและชื่อเสียง เป็นของทารุณเผ็ดร้อน หยาบร้าย เป็นอันตรายต่อการบรรลุโยคเกษมธรรม อันยอดเยี่ยม; ภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาผู้มีศรัทธา เมื่อจะวิงวอนบุตรน้อยคนเดียว ซึ่งเป็นที่รักที่ชื่นใจ โดยชอบ พึงวิงวอนอย่างนี้ว่า‘ขอพ่อจงเป็นเช่นจิตตคฤหบดี และหัตถกะอาฬวกะเถิด’ ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เป็นตุลา เป็นประมาณ ในบรรดาอุบาสกสาวกของเรา ก็คือ จิตตคฤหบดีและหัตถกะอาฬวกะ, ‘ถ้าพ่อออกบวชก็ขอจงเป็นเช่นพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะเถิด’ ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เป็นตุลา เป็นประมาณ ในบรรดาภิกษุสาวกของเรา ก็คือ สารีบุตรและโมคคัลลานะ,‘ขอพ่อจงอย่าเป็นอย่างพระที่ยังศึกษาซึ่งยังมิได้บรรลุอรหัตตผล ก็ถูกลาภ สักการะและชื่อเสียงตามรังควาน’ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าลาภสักการะและชื่อเสียงตามรังควานภิกษุที่ยังศึกษา ซึ่งยังไม่บรรลุอรหัตตผล ก็จะเป็นอันตรายแก่เธอ, ลาภสักการะและชื่อเสียง เป็นเรื่องร้ายกาจ อย่างนี้ เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกไว้ ดังนี้แล”

ต่อจากนั้นก็มีอีกพระสูตรหนึ่งตรัสไว้ทำนองเดียวกันว่า (สํ.นิ.16/571-572/277) “… อุบาสิกาผู้มีศรัทธา เมื่อจะวิงวอนธิดาน้อยคนเดียว ซึ่งเป็นที่รัก ที่ชื่นใจ โดยชอบ พึงวิงวอนอย่างนี้ว่า ‘ขอแม่จงเป็นเช่นขุชชุตราอุบาสิกา และเวฬุ กัณฏกีนันทมารดาเถิด’ ภิกษุทั้งหลายผู้ที่เป็นตุลา เป็นประมาณ ในบรรดาอุบาสิกาสาวิกาของเรา ก็คือ ขุชชุตราอุบาสิกา และเวฬุกัณฏกีนันทมารดา, ‘ถ้าแม่ออกบวช ก็ขอจงเป็นเช่น พระเขมาภิกขุนี และพระอุบลวรรณาเถิด’ ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เป็นตุลา เป็นประมาณ ในบรรดาภิกษุณีสาวิกาของเรา ก็คือ เขมาภิกขุนี และอุบลวรรณา, ‘ขอแม่จงอย่าเป็นอย่างพระที่ยังศึกษา ซึ่งยังมิได้บรรลุอรหัตตผล ก็ถูกลาภสักการะและชื่อเสียงตามรังควาน’… ลาภสักการะและชื่อเสียง เป็นเรื่องร้ายกาจ อย่างนี้เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกไว้ ดังนี้แล”

พระสาวกและพระสาวิกา ที่พระพุทธเจ้าตรัสยกย่องว่าเป็น “ตุลา” นี้ ในที่ทั่วไป มักเรียกกันว่า พระอัครสาวกและพระอัครสาวิกา เป็นต้น แต่พระพุทธเจ้าเองไม่ทรงใช้คำเรียกว่า “อัครสาวก” เป็นต้น นั้น โดยตรง แม้ว่าคำว่า“อัครสาวก” นั้นจะสืบเนื่องมาจากพระดำรัสครั้งแรกที่ตรัสถึงพระเถระทั้งสองท่านนั้น คือ เมื่อพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ออกจากสำนักของสัญชัยปริพาชกแล้ว นำปริพาชก ๒๕๐ คนมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเวฬุวัน ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นทั้งสองท่านนั้นกำลังเข้ามาแต่ไกล ก็ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า (วินย.4/71/77) “ภิกษุทั้งหลาย สหายสองคนที่มานั่น คือโกลิตะ และอุปติสสะ จักเป็นคู่สาวกของเรา เป็นคู่ที่ดีเลิศ ยอดเยี่ยม (สาวกยุคํ ภวิสฺสติ อคฺคํ ภทฺทยุคํ)”, คำเรียกท่านผู้เป็น ตุลา ว่าเป็น “อัคร-” ในพระไตรปิฎก ครบทั้ง ๔ คู่ มีแต่ในพุทธวงส์ โดยเฉพาะโคตมพุทธวงส์ (ขุ.พุทธ.33/206/545) กล่าวคือ ๑. อัครสาวก ได้แก่ พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ ๒. อัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาและพระอุบลวรรณา ๓. อัครอุปัฏฺฐากอุบาสก ได้แก่ จิตตะ (คือ จิตตคฤหบดี) และหัตถาฬวกะ (คือ หัตถกะอาฬวกะ) ๔. อัครอุปัฏฺฐิกาอุบาสิกา ได้แก่ (เวฬุกัณฏกี) นันทมารดา และอุตตรา (คือขุชชุตรา), อัครอุปัฏฺฐากอุบาสกนั้น ในอปทานแห่งหนึ่ง (ขุ.อป.33/79/117) และในอรรถกถาธรรมบทแห่งหนึ่ง เรียกสั้นๆ ว่า อัครอุบาสก และอัครอุปัฏฺฐิกา อุบาสิกา เรียกสั้นๆ ว่า อัครอุบาสิกา (แต่ในที่นั้น อรรถกถาธรรมบทฉบับอักษรไทยบางฉบับ, ธ.อ.๓/๗ เรียกเป็น อัครสาวก และอัครสาวิกา เหมือนอย่างในภิกษุและภิกษุณีบริษัท ทั้งนี้ น่าจะเป็นความผิดพลาดในการตรวจชำระ)

พระสาวกสาวิกาที่เป็น “อัคร” นั้นแทบทุกท่านเป็นเอตทัคคะในด้านใดด้านหนึ่งด้วย คือ พระสารีบุตร เป็นเอตทัคคะทางมีปัญญามาก พระมหาโมคคัลลานะ เป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ พระเขมา เป็นเอตทัคคะทางมีปัญญามาก พระอุบลวรรณา เป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ จิตตคฤหบดี ซึ่งเป็นอนาคามี เป็นเอตทัคคะในด้านเป็นธรรมกถึก หัตถกะอาฬวกะ ซึ่งเป็นอนาคามี เป็นเอตทัคคะทางสงเคราะห์บริษัทคือชุมชน ด้วยสังคหวัตถุสี่ ขุชชุตรา ซึ่งเป็นโสดาบัน ผู้ได้ บรรลุปฏิสัมภิทา (ได้เสขปฏิสัมภิทา คือปฏิสัมภิทาของพระเสขะ) เป็นเอตทัคคะในด้านเป็นพหูสูต เว้นแต่เวฬุกัณฏกีนันทมารดา (เป็นอนาคามินี) ที่น่าแปลกว่าไม่ปรากฏในรายนามเอตทัคคะซึ่งมีชื่อนันทมารดาด้วย แต่เป็นอุตตรานันทมารดา ที่เป็นเอตทัคคะในทางชำนาญฌาน (และทำให้ยังสงสัยกันว่า “นันทมารดา” สองท่านนี้ แท้จริงแล้ว จะป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่)

นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่ง “อัคร” ที่ยอมรับและเรียกขานกันทั่วไปอีก ๒ อย่าง คือ อัครอุปัฏฐาก ผู้เฝ้ารับใช้พระพุทธเจ้าอย่างเยี่ยมยอด ได้แก่พระอานนท์ (“อัครอุปัฏฐาก” เป็นคำที่ใช้แก่พระอานนท์ ตั้งแต่ในพระไตรปิฎก, ที. ม.10/55/60; พระอานนท์เป็นเอตทัคคะถึง ๕ ด้าน คือ ด้านพหูสูต มีสติ มีคติ มีธิติ และเป็นอุปัฏฐาก) และอัครอุปัฏฐายิกา คืออุบาสิกาผู้ดูแลอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธเจ้าอย่างเยี่ยมยอด ได้แก่ วิสาขามหาอุบาสิกา (นางวิสาขาซึ่งเป็นโสดาบัน เป็นเอตทัคคะผู้ยอดแห่งทายิกา คู่กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งก็เป็นโสดาบัน และเป็นเอตทัคคะผู้ยอดแห่งทายก, แต่พบในอรรถกถาแห่งหนึ่ง, อุ.อ.๑๘/๑๒๗, จัดเจ้าหญิงสุปปวาสา โกลิยราชธิดา ซึ่งเป็นเอตทัคคะผู้ยอดแห่งประณีตทายิกา ว่าเป็นอัครอุปัฏฺฐายิกา)