คำศัพท์ :
ปริตต์, ปริตร1. [ปะ-ริด] น้อย, เล็กน้อย, นิดหนอย, ต่ํ่าต้อย, ด้อย, คับแคบ, ไมสําคัญ (ตรงข้ามกับ
มหา หรือ
มหันต)
2. [ปะ-ริด] สภาวะที่ด้อย หรือคับแคบ หมายถึงธรรมที่เปนกามาวจร, พึงทราบว่า ธรรมทั้งปวง หรือสิ่งทั้งหลาย ประดามีนั้นนัยหนึ่งประมวลจัดแยกได้เปน ๓ ประเภท ได้แก่
ปริตตะ (ธรรมที่ด้อยหรือคับแคบ คือเปนกามาวจร)
มหคัคตะ หรือ
มหรคต (ธรรมที่ถึงความยิ่งใหญ่ คือเปืนรูปาวจร หรือ อรูปาวจร) และ
อัปปมาณะ (ธรรมที่ี่ประมาณมิได คือเปนโลกุตตระ);
ดู กามาวจร 3.[ปะ-หริด] “เครื่องคุมครองปองกัน”บทสวดที่นับถือเปนพระพุทธมนต คือ บาลีภาษิตดั้งเดิมในพระไตรปฎก ซึ่งไดยกมาจัดไวเปนพวกหนึ่งในฐานะเปนคําขลังหรือคําศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอานุภาพคุมครองปองกันชวยใหพนจากภยันตราย และเปนสิริมงคลทําใหเกษมสวัสดีมีความสุขความเจริญ (ในยุคหลังมีการเรียบเรียงปริตรเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากบาลีภาษิตในพระไตรปฎกบาง พึงทราบตามคําอธิบายตอไป และพึงแยกวาบท สวดที่มักสวดเพิ่มหรือพวงกับพระปริตรในพิธีหรือในโอกาสเดียวกัน มีอีกมากมิใชมาจากพระไตรปฎก แตเปน ของนิพนธขึ้นภายหลัง ไมใชพระปริตร แตเปนบทสวดประกอบโดยสวดนําบาง สวดตอทายบาง)
กลาวไดวา การสวดพระปริตรเปนการปฏิบัติสืบเนื่องจากความนิยมในสังคมซึ่งมีการสวดสาธยายรายมนต (มันตสัชฌายน, มันตปริชัปปน) ที่แพรหลายเปนหลักสําคัญอยางหนึ่งในศาสนาพราหมณ แตไดปรับแกจัดและจํากัดทั้งความหมาย เนื้อหา และการปฏิบัติใหเขากับคติแหงพระพุทธศาสนาอยางนอยเพื่อชวยใหชนจํานวนมากที่เคยยึดถือมาตามคติพราหมณและยังไมเขมแข็งมั่นคงในพุทธคติ หรืออยูใน บรรยากาศของคติพราหมณนั้น และยังอาจหวั่นไหวใหมีเครื่องมั่นใจและใหมีหลักเชื่อมตอที่จะชวยพาพัฒนากาวตอไป, ทั้งนี้ในฝายภิกษุ มีพุทธบัญญัติ (วินย.7/183-184/71) หามมิใหเรียนมิใหบอกติรัจฉานวิชา หากฝาฝนตองอาบัติทุกกฏ โดยมิไดแสดงขอยกเวนไว สวนในฝายภิกษุณี (วินย.3/322-327/176-178) มีพุทธบัญญัติหามมิใหเรียนมิใหบอก ติรัจฉานวิชา หากฝาฝน ตองอาบัติ ปาจิตตีย แตมีขอยกเวนวา เรียนหรือบอกปริตรเพื่อคุมครอง (แกตนเองหรือ แกผูอื่นก็ตาม) ไมตองอาบัติ, มีคํา อธิบายวา ติรัจฉานวิชา คือวิชาทํารายคนอื่นรวมทั้งมนตอาถรรพ (อาถรรพณมนต ตามคัมภีรอถรรพเวทของพราหมณ) เชน มนตในการฝงรูปฝงรอย มนต สะกดคนใหอยูใตอํานาจ มนตแผดเผาสรีรธาตุใหเขาผอมแหงมนตชักลาก เอาทรัพยของคนอื่นมา มนตทําใหมิตรผิดใจแตกกัน ฯลฯ มนตเหลานี้ภิกษุณี จะเรียนหรือสอนไมได เปนการผิดพุทธบัญญัติ แตเรียนหรือสอนปริตรเพื่อคุมครองตนเองหรือผูอื่นก็ตามไมผิด, นอกจากนั้นหลายครั้งพระพุทธเจาทรงแนะนําพระสาวกใหเจริญเมตตาตอสัตวทั้งหลาย เชนตองูบาง ใหทําสัจกิริยาคืออางสัจจะอางคุณธรรมบาง ใหระลึกถึงคุณและเคารพนบนอมพระรัตนตรัยบาง เปนกําลังที่คุมครองรักษาแลวพระดํารัสนั้นก็ไดรับความนับถือจัดเปนปริตรชื่อตางๆ, ที่กลาวนี้ พอใหเห็นความเปนมาของพระปริตร
ตอไปนี้ จะสรุปขอควรทราบเกี่ยวกับพระปริตรไวเปนความรูประกอบ
๑) โดยชื่อ: เรียกวา “ปริตร” ตามความหมายที่เปนเครื่องคุมครองปองกันอันชอบธรรม ซึ่งตางจากมนตที่ไดมีความหมายโนมไปในทางเปนอาถรรพณมนต ตามลัทธิของพราหมณ อยางที่เรียกในบัดนี้วาเปนไสยศาสตร ซึ่งมักใชทํารายผูอื่น และสนองความโลภเปนตน
๒) โดยเนื้อหา: ปริตรเปนเรื่องของคุณธรรมทั้งในเนื้อหาและการปฏิบัติคุณธรรมที่เปนพื้นทั่วไปคือเมตตา บางปริตรเปนคําแผเมตตาทั้งบท ( เชน กรณียเมตตปริตร และขันธปริตร) แม แตเมื่อจะเริ่มสวดพระปริตร ก็มีคําประพันธที่แตงขึ้นมาใหสวดสําหรับ ชุมนุมเทวดากอน ซึ่งบอกใหผูสวดตั้ง จิตแผเมตตาแตตน อยางที่เรียกวามี เมตตาเปนปุเรจาริก (และคําที่เชิญเทวดามาฟง ก็บอกวาเชิญมาฟงธรรม) คุณธรรมสําคัญอีกอยางหนึ่งที่เปนแกนของปริตรคือสัจจะ บางปริตรเปนคําตั้ง สัจกิริยาทั้งบท (เชน อังคุลิมาลปริตร และวัฏฏกปริตร) บางปริตรเปนคําระลึกคุณพระรัตนตรัย (รตนปริตร โมรปริตร ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร) บางปริตรเปนคําสอนหลักธรรมที่จะปฏิบัติใหชีวิตสังคมเจริญงอกงามและหลัก ธรรมที่เจริญจิตเจริญปญญา (มงคลสูตร โพชฌังคปริตร, โพชฌังคปริตรนั้นทานนําสาระจากพระสูตรเดิมมาเรียบเรียง และเติมคําอางสัจจะตอทายทุกทอน)
๓) โดยหลักการ: ปริตรเปนไปตามหลักพระพุทธศาสนาที่ถือธรรมเปนใหญสูงสุด ไมมีการรองขอหรืออางอํานาจของเทพเจา (เทพทั้งหลายแมแตที่นับถือวาสูงสุดก็ยังทํารายกัน ไมบริสุทธิ์แท และไมเปนมาตรฐานที่แนนอน ตองขึ้นตอธรรม มีธรรมเปนตัวตัดสินในที่สุด เชนวา กอนโนน พราหมณถือวาพระพรหมเปนใหญ สรางทุกสิ่งทุกอยาง แตตอมาลัทธินับถือพระศิวะเลาวา เดิมทีพระพรหมมี ๕ พักตร กระทั่งคราวหนึ่ง ถูกพระศิวะกริ้วและทําลายพักตรที่หาเสีย จึงเหลือสี่พักตร) ปริตรไมอิงและไมเอื้อตอกิเลสโลภะ โทสะ โมหะเลย เนน แตธรรม เฉพาะอยางยิ่งเมตตาและสัจจะ อยางที่กลาวแลว และอางพุทธคุณหรือ คุณพระรัตนตรัยทั้งหมดเปนอํานาจคุมครองรักษาอํานวยความเกษมสวัสดี ในหลายปริตรมีคําแทรกเสริมบอกใหเทวดามีเมตตาตอหมูมนุษย ทั้งเตือนเทวดาวามนุษยไดพากันบวงสรวงบูชา จึงขอใหทําหนาที่ดูแลรักษาเขาดวยดี
๔) โดยประโยชน: ความหมายและการใชประโยชนจากปริตรตางกันไปตามระดับการพัฒนาของบุคคล ตั้งแตชาวบานทั่วไป ที่มุงใหเปนกําลังอํานาจปกปกรักษาคุมครองปองกันจนถึงพระอรหันตซึ่งใชเจริญธรรมปติ แตที่ยืนเปนหลักคือ ชวยใหจิตของผูสวดและผูฟงเจริญกุศล เชน ศรัทธาปสาทะ ปติ ปราโมทยและความสุขตลอดจนตั้งมั่น เปนสมาธิรวมทั้งเตรียมจิตใหพรอมที่ จะกาวสูภูมิธรรมที่สูงขึ้นไป คือเปน กุศลภาวนา เปนจิตตภาวนา
๕) โดยที่มา: แหลงที่มาของพระปริตร ไดแกคําแนะนําสั่งสอนของพระพุทธเจา กลาวคือ พระสูตร พุทธานุญาต ชาดก เรื่องไหนตอนใดมีเนื้อความซึ่งไดความหมายตรงตามที่ตองการ ก็นํามาสวดและนิยมสืบกันมา เชน มหาโจรองคุลิมาล เมื่อกลับใจมาบวชแลว วันหนึ่งไปบิณฑบาต พบสตรีครรภแกคลอดยาก มีอาการทุลักทุเลลําบาก ทานสงสาร กลับจากบิณฑบาตแลวก็มาเฝาทูลความ แดพระผูมีพระภาคเจา พระองคจึงทรง แนะนําใหทานเขาไปหาสตรีนั้นและ กลาวคําเปนสัจกิริยาวา “ ดูกรนองหญิง ตั้งแตอาตมาไดเกิดแลวในอริยชาติ มิไดรูสึกเลยวาจะจงใจปลงสัตวเสียจากชีวิต ดวยสัจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมี แกทานขอความสวัสดีจงมีแกครรภ ของทานเถิด” พระองคุลิมาลไดปฏิบัติ ตามสตรีนั้นก็คลอดบุตรไดงายโดย สวัสดี (ม.ม.13/531/485) คําบาลีที่กลาว สัจกิริยานี้ก็เปนที่นิยมนํามาใช โดยมีชื่อ วาอังคุลิมาลปริตร ถือวาเปนมหาปริตรทีเดียว, บางทีมีเหตุรายเกิดขึ้น เชน คราวหนึ่งมีภิกษุถูกงูกัดถึงมรณภาพ เมื่อทรงทราบ ไดตรัสอนุญาตใหภิกษุทั้งหลายแผเมตตาจิตไปยังพญางูสี่ ตระกูล ( วิรูปกข เอราบถ ฉัพยาบุตร กัณหาโคตมกะ) เพื่อคุมครองรักษาและปองกันตัว และไดตรัสคาถาแผเมตตาแกตระกูลพญางูทั้งสี่นั้น ตลอดจนแก สรรพสัตว ลงทายดวยคุณพระรัตนตรัย และนมัสการพระพุทธเจา ๗ พระองค (วินย.7/26/11; องฺ.จตุกฺก.21/67/94) เปนที่มา ของขันธปริตร (คาถาที่เปนปริตรนี้มาในขันธปริตตชาดกดวย, ขุ.ชา.27/255/74, หรืออยางพระพุทธเจาตรัสสอนธรรมโดย ทรงเลาเรื่องชาดกเปนตัวอยาง แลวชาดกบางเรื่องที่มีถอยคําซึ่งไดชวยใหบุคคลหรือสัตวในเรื่องรอดพนอันตราย ก็มาเปนปริตร ดังเชน “คาถานกคุม” ที่ลูกนกคุมกลาวเปนสัจกิริยาทําใหไฟปาไมลุกลามเขามาไหมรัง (ขุ.ชา.27/35/12) มีคาถาแตไมครบ, มาครบใน ขุ.จริยา.33/237/588 ก็มาเปนวัฏฏกปริตร, หรืออยางมงคลสูตร (ขุ.ขุ.25/5/3; ขุ.สุ.25/317/376) ที่วา พระพุทธเจา เมื่อเหลาเทวดาทูลขอใหตรัสแสดงยอดมงคล แทนที่จะตรัสถึงสิ่งที่พบเห็นไดยินดีรายวาเปนมงคลหรือไมเปนมงคลอยางที่คนยึดถือกันกลับ ทรงสอนหลักความประพฤติปฏิบัติในชีวิตและสังคม เชน การไมคบคนพาล การคบบัณฑิต การยกยองเชิดชูคนที่ ควรยกยองเชิดชู ฯลฯ จนถึงความมีจิตใจเกษมศานตเปนอิสระไมหวั่นไหวดวยโลกธรรม วาเปนอุดมมงคลมงคลสูตร นี้ก็เปนที่นิยมนับถือ นํามารวมไวในชุดพระปริตรเต็มทั้งพระสูตร
พระปริตรที่ชื่อวา อาฏานาฏิยปริตร จากอาฏานาฏิยสูตร (ที.ปา.11/207/208) นับวามีกําเนิดแปลกออกไป คือ มิใชเปนพุทธดํารัสที่ตรัสเอง แตมีเรื่องในพระสูตรนั้นวา ณ ยามดึก ราตรีหนึ่ง ทาว มหาราชสี่ (จาตุมหาราช หรือจตุโลกบาล) พรอมดวยบริวารจํานวนมาก ไดมาเฝาพระพุทธเจาที่เขาคิชฌกูฏ เมืองราชคฤห ครั้นแลวทาวเวสสวัณ ผูครอง ทิศอุดร (ไทยมักเรียก เวสสุวัณ, มีอีกชื่อ หนึ่งวา กุเวร) ไดกราบทูล (ในนามของผู มาเฝาทั้งหมด) วา พวกยักษที่ไมเลื่อมใส พระผูมีพระภาคเจา ก็มี ที่เลื่อมใส ก็มีสวนมากที่ไมเลื่อมใสเพราะตนเองทํา ปาณาติบาต เปนตน จนถึงดื่มสุราเมรัย เมื่อพระผูมีพระภาคเจาทรงสอนใหงดเวน กรรมชั่วเหลานั้น จึงไมชอบใจ ทาวมหาราชทรงหวงใยวามีพระสาวกที่ไปอยูในปาดงเงียบเปลี่ยวหางไกลอันนากลัว จึงขอถวายคาถา “อาฏานาฏิยา รกฺขา” (อาฏานาฏิยรักขา เรียกงายๆ วาอาฏานาฏิยารักข โดยเรียกตามชื่อเทพนครอาฏานาฏา ที่ทาวมหาราชประชุมกัน ประพันธอาฏานาฏิยรักขานี้ขึ้น) โดยขอใหทรงรับไวเพื่อทําใหยักษพวกนั้นเลื่อมใสเปนเครื่องคุมครองรักษาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ใหอยูผาสุก ปลอดจากการถูกเบียดเบียน แลวทาวเวสสวัณก็กลาวคําอารักขานั้น เริ่มตนดวยคํานมัสการพระพุทธเจา ๗ พระองค มีพระวิปสสี เปนตน ตอดวยเรื่องของทาวมหาราชสี่รายพระองคที่พรอมดวยโอรสและเหลาอมนุษยพากันนอมวันทาพระพุทธเจา, เมื่อจบแลว ทาวเวสสวัณ กราบทูลย้ำวาคาถาอาฏานาฏิยรักขานี้ เพื่อเปนเครื่องคุมครองรักษาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ใหอยูผาสุก ปลอดจากการถูกเบียดเบียน เมื่อเรียน ไวแมนยําดีแลว หากอมนุษยเชนยักษ เปนตนตนใดมีใจประทุษรายมากล้ํา กราย อมนุษยตนนั้นก็จะถูกตอตานและถูกลงโทษโดยพวกอมนุษยทั้งหลาย หากตนใดไมเชื่อฟง ก็ถือวาเปนขบถตอ ทาวมหาราชสี่นั้น กลาวแลวก็พากัน กราบทูลลากลับไป ครั้นผานราตรีนั้นไป แลวพระพุทธเจาไดตรัสเลาเรื่องทั้งหมด แกภิกษุทั้งหลาย ตรัสวาอาฏานาฏิยรักขา นั้นกอปรดวยประโยชนในการคุมครอง รักษาดังกลาวแลว และทรงแนะนําให เรียนไว, คาถาอาฏานาฏิยรักขานี้เองได มาเปนอาฏานาฏิยปริตร และอาฏานาฏิยปริตรนี้นับวาเปนตัวอยางอันชัดเจนที่ แสดงถึงวิธีสอนที่นําประชาชนใหฝกศึกษาพัฒนาชีวิตขึ้นมาตามลําดับ จากจุดเชื่อมตอกับความเชื่อถือพื้นฐานของเขา เพื่อกาวเขามาสูคติแหงพระพุทธศาสนา คือในแงความเชื่ออํานาจศักดิ์สิทธิ์ ถือวาตองเปนอํานาจที่ทรงธรรมจึง จะศักดิ์สิทธิ์จริงจังยั่งยืน และชําระ อํานาจนั้นใหบริสุทธิ์เปนกุศลปราศจากการใชกิเลสเชนโลภะและโทสะใหอํานาจที่เปนกุศลชนะอํานาจอกุศล และที่ สําคัญยิ่งคือไมใหขัดหลักกรรม แตใหสนับสนุนความเพียรในการทํากุศลกรรม โดยมีความหมายในแงคุมครองปองกันใหปลอดโปรงปราศจากสิ่งขัดขวางกังวล ทั้งภายนอกและในใจ เพื่อใหพรอมหรือมั่นใจมีกําลังใจที่จะเพียรทํากิจที่มุงหมาย เชน ภิกษุก็จะเจริญสมณธรรมไดเต็มที่ (มิใชรออํานาจศักดิ์สิทธิ์มาบันดาลผลนั้นให)
เรื่องราวอันเปนที่มาของปริตรทั้งหลายตามที่เลาในพระไตรปฎก มีเพียงสั้นๆ ตรงๆ อยางที่กลาวแลวแตที่มาของบางปริตรปรากฏในอรรถกถาเปน เรื่องราวยืดยาวพิสดาร โดยเฉพาะรตนปริตร จากรตนสูตร (ขุ.ขุ.25/7/5; ขุ.สุ.25/314/367) ซึ่งอรรถกถาเลาวา คราวหนึ่ง ที่เมืองเวสาลี ไดเกิดทุพภิกขภัยใหญ ผู คนลมตาย ซากศพเกลื่อนเมือง พวก อมนุษยก็เขามาแถมอหิวาตกโรคซ้ําอีก ในที่สุดกษัตริยลิจฉวีตกลงไปอาราธนา พระพุทธเจาซึ่งเวลานั้นประทับที่เมืองราชคฤห ( ยังอยูในรัชกาลของพระเจา พิมพิสาร) ขอใหเสด็จมา พระพุทธองคประทับเรือเสด็จมาเมื่อถึงเขตแดนพอยางพระบาทลงทรงเหยียบฝงแมน้ําคงคา ฝนโบกขรพรรษก็ตกลงมาจนน้ําทวม พัดพาซากศพลอยลงแมน้ำคงคาไปหมด และเมื่อเสด็จถึงเมืองเวสาลี ทาวสักกะ และประดาเทพก็มาชุมนุมรับเสด็จเปนเหตุใหพวกอมนุษยหวาดกลัว พากันหนีไป ครั้งนั้นพระพุทธเจาไดตรัสรตนสูตร ใหพระอานนทเรียนและเดินทําปริตรไป ในระหวางกําแพงเมืองทั้ง ๓ ชั้น พระอานนทเรียนรตนสูตรนั้นแลวสวดเพื่อ เปนปริตรคือเปนเครื่องคุมครองปองกัน พรอมทั้งถือบาตรของพระพุทธเจา ใสน้ำเดินพรมไปทั่วทั้งเมือง เปนอันวา ทั้งภัยแลง ภัยอมนุษย และภัยจากโรค ก็สงบสิ้นไป พระพุทธเจาประทับที่เมือง เวสาลีครึ่งเดือนจึงเสด็จกลับ มีการชุมนุมครั้งใหญเพื่อสงเสด็จ เรียกวา “คงฺโคโรหณสมาคม” (เปนไทย=คงคาโรหณสมาคม, การชุมนุมในคราวเสด็จลงแมน้ําคงคาเพื่อเสด็จกลับสูเมืองราชคฤห; การชุมนุมใหญอยางนี้มีอีก ๒ ครั้ง คือ ยมกปาฏิหาริยสมาคม และเทโวโรหณสมาคม), พระสูตรนี้ แสดงคุณของพระรัตนตรัย จึงเรียกวา รตนสูตร (ในมิลินทปญหาบางฉบับเรียก วา สุวัตถิสูตร เพราะแตละคาถาลงทาย วา “ สุวตฺถิ โหตุ” – ดวยสัจจะนี้ ขอความสวัสดีจงมี), เรื่องที่อรรถกถาเลานี้ นาจะเปนที่มาของประเพณีการเอาน้ำใส บาตรทําน้ำมนต แลวพรมน้ำมนตเพื่อความสุขสวัสดี
๖) โดยความเปนมา: เดิมนั้น “ปริตต” มีความหมายวา “เครื่องคุมครองปองกัน” เชนกลาวขอความนั้นๆ เพื่อเปนปริตรหรือใหเปนปริตร ( เปนเครื่องคุมครองปองกัน) ยังไมเรียกขอความนั้นเองวา ปริตร จึงใชคําวา “ทําปริตต” (ปริตตกรณะ) เชนทําการแผเมตตา หรือทําการนอมรําลึกหรือนมัสการอยางนั้นๆ ใหเปนเครื่องคุมครองปองกัน ไมใชคําวา กลาวหรือสวดปริตต ตอมาจึงคอยๆ เรียกขอความที่สวดหรือบทสวดนั้นเองวาปริตร แลวปริตรก็มีความหมายวา “บทสวดเพื่อเปนเครื่องคุมครองปองกัน” ดังที่ในบัดนี้ ใชคําวา “กลาวปริตร” หรือ “สวดพระปริตร” (ปริตตภณนะ) เปนพื้น
ปริตรไดเปนคําเรียกบทสวด โดยมีรายชื่อปรากฏในคัมภีรชั้นหลังจากพระ ไตรปฎกเริ่มแตมิลินทปญหา ซึ่งถือกันวาเกิดขึ้นประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ในมิลินทปญหานั้น มีรายชื่อ ๕-๗ ปริตร (ฉบับหนึ่งที่เปนอักษรพมามี ๗ ปริตร คือ รตนสูตร เมตตสูตร ขันธปริตร โมรปริตร ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร องคุลิมาลปริตร, ฉบับอักษรไทยมี ๕ ปริตร คือ ขันธปริตร สุวัตถิปริตร [=รตนสูตร] โมรปริตร ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร), ตอมาในชั้นอรรถกถา ( ถึง พ.ศ. ๙๐๐ เศษ) พบรายชื่ออยางมาก ๘ ปริตร คือ อาฏานาฏิยปริตร อิสิคิลิปริตร ธชัคคปริตร โพชฌังคปริตร ขันธปริตร โมรปริตร เมตตปริตร รตนปริตร (องฺ.อ. ๒/๒๑๐; นิทฺ๑.อ.๓๓๖), ตอนี้ไปจะกลาวขอ สังเกตตามลําดับ ดังนี้
ก.ปริตรที่ยืนตัวอยูในทุกรายชื่อตั้งแต มิลินทปญหามาจนวิสุทธิมัคคกระทั่งถึง คัมภีรแมแตชั้นฎีกา มีเพียง ๕ คือ รตนปริตร ขันธปริตร ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร และโมรปริตร
ข. ตลอดยุคที่กลาวมา รายชื่อหลักขึ้นตนดวยรตนปริตร ซึ่งบางทีเรียกชื่อเดิมเปนรตนสูตร และในรายชื่อทุกบัญชี ไม มีมงคลสูตรเลย
ค. ไมชัดวามีมงคลสูตรเพิ่มเขามาในราย ชื่อปริตรเมื่อใด แตคงเพิ่มในยุคสมัยที่ไมนานนักนาสังเกตวาทานเพิ่มเขามาโดยจัดเปนปริตรแรกทีเดียวนําหนารตนปริตร อีกทั้งเปนบทเดียวที่คงเรียกชื่อ เปนสูตรคงที่ยืนตัว ไมเรียกชื่อวาปริตร ทั้งนี้พอเห็นเหตุผลไดชัดวา เนื้อความในมงคลสูตรไมมีลักษณะเปนปริตรโดยตรง คือมิใชมุงจะปองกันภัยใดๆ อยางปริตรอื่น แตเปนเรื่องของสิริมงคลคือ เปนไปเพื่อความสุขความเจริญงอกงาม กวางๆ ครอบคลุมทั่วไปหมด ถึงจะไมเปนปริตร ก็ดีมีคุณไมนอยกวาปริตร และควรเอามาสวดนํากอนดวยซ้ำ เพื่อใหเกิดสิริมงคลเปนพื้นฐานหรือเปนบรรยากาศไวกอนแลวจะแกหรือกัน อันตรายอยางไหนก็คอยวากันตอไป (และในแงเนื้อความมงคลสูตรก็ครอบคลุมความดีงามสุขสวัสดีทุกประการ โดยมีหลักธรรมที่เหมาะแกทุกบุคคลครบทุกขั้นตอนของชีวิต) อีกทั้งทานเอามาใชเต็มทั้งพระสูตรไมไดคัดตัดมา
เพียงบางสวนจึงเปนอันไดเหตุผลที่นํา มาสวดเขาชุดปริตร และจัดเปนบทแรก โดยเรียกชื่อคงเดิมวามงคลสูตร, ใน คัมภีรขุททกปาฐะแหงพระไตรปฎก ทานเรียงลําดับมงคลสูตรและรตนสูตรไวถัดกัน โดยมีมงคลสูตรเปนสูตรแรก อรรถกถาอธิบายวาลําดับนี้เขากับเหตุผลวามงคลสูตรเปนอัตตรักษ ( รักษาตัว) รตนสูตรเปนปรารักษ (รักษาผูอื่น)
ง. สวนปริตรอื่นนั้นชัดอยูแลววาปริตร ใดเดิมเปนพระสูตร และนํามาใชสวด เต็มทั้งสูตร ปริตรนั้นจะเรียกชื่อเปนสูตร หรือเรียกเปนปริตร ก็ได คือ รตนสูตร/ปริตร กรณียเมตตสูตร/ปริตร (บางทีเรียกสั้นๆ วา เมตตสูตร/ปริตร) และธชัคคสูตร/ปริตร, ปริตรนอกนี้ มิใชมาจากพระสูตร ( เชน มาจากชาดก) หรือถามาจากพระสูตร ก็ไมนํามาเต็ม ทั้งสูตร แตคัดตัดมาเฉพาะสวนที่เกี่ยวของ จึงเรียกวาปริตรอยางเดียว
จ. อาฏานาฏิยปริตร มาจากอาฏานาฏิยสูตร แตนํามาใชเฉพาะคาถา “อาฏานาฏิยา รกฺขา” ที่ทาวมหาราชสี่ถวายไมนํามาเต็มทั้งสูตร ( คือนํามาเพียงเอกเทศของ พระสูตร) จึงเรียกวาปริตรเทานั้น ไมเรียกวาสูตร ในแงนี้ อาฏานาฏิยปริตรก็เหมือนกับปริตรอื่นๆ ที่เรียกวาปริตรอยางเดียว แตแงที่แปลกกวานั้นก็คือนํามาเฉพาะคาถานมัสการพระพุทธเจา เจ็ดพระองค ๖ คาถา สวนคาถาตอจาก นั้นซึ่งวาดวยเรื่องของทาวมหาราชสี่ทานตัดออก แลวประพันธคาถาใหมซึ่งสวนใหญพรรณนาพระคุณของพระพุทธเจามากมายหลายพระองค นบ วันทาพระพุทธเจาเหลานั้น ขอใหพระคุณของพระองคปกปกรักษา และขอใหทาวมหาราชทั้งสี่มารักษาดวย, การที่พระโบราณาจารยกระทําอยางนี้ คงเปนเพราะทานเห็นวาคาถาอาฏานาฏิยรักขา มิใชเปนพระพุทธวจนะ แตเปนคําของเทพเทานั้น เมื่อจะนํามาใชในกิจนอก พระไตรปฎก ทานจึงแตงเพิ่มและเติมแทนได โดยเฉพาะคาถาที่ทานแตงนั้น ก็เปนการเสริมเจตนารมณของทาว มหาราชทั้งสี่ที่แสดงออกใน ๖ คาถาแรก ใหปริตรหนักแนนมีกําลังมากยิ่งขึ้น, โพชฌังคปริตรมีลักษณะพิเศษตางออกไปอีก เนื่องจากวา เรื่องที่พระพุทธองคเอง พระมหากัสสปะ และพระมหาโมคคัลลานะ สดับคําแสดงโพชฌงค แลวหายจากอาพาธนั้น กระจายอยูในสามพระสูตรตางหากกัน (สํ.ม.19/415-428/113-117) พระโบราณาจารยจึงใชวิธี ประพันธคาถาประมวลเรื่องสรุปความ รวมไวเปนปริตรเดียวกัน โพชฌังคปริตร จึงมิใชเปนบาลีภาษิตจากพระไตรปฎกโดยตรง, เรื่องของอาฏานาฏิยปริตร (รวมทั้งโพชฌังคปริตร) นี้นาจะเปนตัวอยางใหในยุคหลังมีการแตงคาถาใหมขึ้น เปนปริตรชื่อใหมๆ โดยนําเอาพุทธพจน หรือขอความในพระไตรปฎกมาตั้งเปนแกน ก็มีไมมีขอความจากพระไตรปฎก โดยตรงเลยก็มีไดแก อภยปริตร และ ชยปริตร ในประมวลบทสวดที่เรียกวา “สิบสองตํานาน”
๗) โดยการจัดเปนแบบแผน: ตอมา ในบานเมืองที่พระพุทธศาสนาเจริญ แพรหลาย มีคนทุกหมูเหลานับถือแลว ความนิยมสวดพระปริตรก็แพรหลายมากขึ้นๆ จนเกิดเปนประเพณีขึ้นโดยมี พิธีกรรมเกี่ยวกับการสวดพระปริตรนั้น และประเพณีนั้นก็พัฒนาตอๆ มา เชน มีการสวดปริตรนี้ในโอกาสนั้น สวดปริตรนั้นในโอกาสนี้ มีการสวดปริตร เปนชุดในงานสําคัญ มีการแยกวาพึงสวดชุดใดในงานไหนระดับใด ตลอดจนจัดลําดับในชุดพรอมดวยบทสวด ประกอบตางๆ เปนตน, ในคัมภีรมิลินทปญหา ซึ่งเลาเรื่องราวเมื่อใกล พ.ศ.๕๐๐ แมจะมิไดกลาวถึงพิธีสวดพระปริตรโดยตรง แตปญหาหนึ่งที่พญามิลินทตรัสถาม พระนาคเสนวา ถาปริตรทําใหคนพนจาก บวงมัจจุราชได จะไมขัดกันหรือกับคํา สอนที่วาถึงจะเหาะเหินไปในฟากฟาถึงจะซอนตัวลึกถึงกลางมหาสมุทร หรือจะหนีไปที่ไหน ก็หาพนจากบวงมัจจุราชไปไดไม และระบุชื่อปริตรไวดวยหลายบท (ฉบับอักษรพมาระบุไว ๗, ฉบับอักษร ไทยระบุไว ๕ ดังกลาวขางตน) นี้แสดง วาการสวดพระปริตรคงจะเปนที่นิยม ทั่วไปแลวในชมพูทวีป รวมทั้งแควน โยนก (โยนกเวลานั้นขยายกวางตั้งแต แถบเหนือของอัฟกานิสถานและปากีสถาน มาจนถึงตะวันตกเฉียงเหนือของ อินเดียปจจุบัน) ตอมา ในลังกาทวีป มีเรื่องราวเปนหลักฐานชัดเจนตามคัมภีรมหาวงส (พงศาวดารลังกายุคตน) วาในรัชกาลพระเจาอุปติสสะ ที่ ๑ (พ.ศ. ๙๐๕–๙๕๒) เกิดทุพภิกขภัย พระองคไดโปรดใหนิมนตพระสงฆประชุมใหญ สวดพระปริตร แลวฝนตกหายแลงในสมัยหลังตอมา ก็มีเหตุการณเชนนี้อีก, พิธีสวดอยางนี้ นอกจากเปนงานใหญ แลวก็กลายเปนประเพณีการสวดบาง อยางก็ทําเปนประจําทุกป อยางนอยก็ทํานองเปนการบํารุงขวัญในบางคัมภีร อยางวินยสังคหะถึงกับอธิบายวิธีจัด เตรียมการในการสวดพระปริตรในบางโอกาส เชน เมื่อไปสวดใหคนเจ็บไขฟงพึงใหเขารับสิกขาบทกอน (เราเรียกวาให ศีล) แลวกลาวธรรมแกเขาพึงทําปริตรใหแกผูที่ตั้งอยูในศีล ถาคนถูกผีเขา ไมควรสวดอาฏานาฏิยปริตรกอน แตพึงสวดเมตตสูตร ธชัคคสูตร และรตนสูตร ตลอดสัปดาห ถาผีไมยอมออก จึงควรสวดอาฏานาฏิยปริตร ดังนี้เปนตน
ปริตรที่จัดเปนหมวดหรือเปนชุด ตอมาก็มีการแยกเปนชุดเล็กและชุดใหญ ดังที่เรียกวา “เจ็ดตํานาน” (ใชคํา บาลีเปน สัตตปริตต) และ “ สิบสอง ตํานาน” (ทวาทสปริตต) แตมีขอนาสงสัยวา “ ตํานาน” ในที่นี้หมายถึงเรื่องราวเลาขานสืบกันมาใชแนหรือไม พอดีวา “ปริตต” คือเครื่องคุมครองปองกันนี้ มีคําบาลีที่เปนไวพจนวา รักขา ตาณ เลณ ทีปะ นาถ สรณะ เปนตน โดยเฉพาะ “ตาณ” นั้น บางทีใชอธิบายหรือใชแทน “ปริตฺต” อยางชัดเจน (เชน ในโยชนา แหงอรรถกถาวินัยวา ยกฺขปริตฺตนฺติ ยกฺเขหิ สมนฺตโต ตาณํ) จึงนาสันนิษฐาน วาอาจเปน “ ตํานาณ” ที่แผลงจาก “ตาณ” นี้เอง (คือเปน เจ็ดตํานาณ และ สิบสองตํานาณ) และเมื่อใชเปนแบบ แผนในพระราชพิธี ก็ไดมีชื่อเปนคํา ศัพทเฉพาะขึ้นวา “ราชปริตร” เรียก สัตตปริตตวา จุลราชปริตร (ปริตรหลวง ชุดเล็ก) และเรียกทวาทสปริตตวา มหาราชปริตร (ปริตรหลวงชุดใหญ)
เจ็ดตํานาน
๑. มงคลสูตร
๒. รตนปริตร (มักเรียก รตนสูตร)
๓. เมตตปริตร (มักเรียก กรณียเมตตสูตร)
๔/๐. ขันธปริตร
๕/๐. โมรปริตร
๖/๐. ธชัคคปริตร (มักเรียก ธชัคคสูตร)
๗/๐. อาฏานาฏิยปริตร
๐/๗. โพชฌังคปริตร มีอังคุลิมาลปริตรนํา (ลําดับทายนี้ อาจเขาแทนลําดับใดหนึ่งใน ๔-๗)
สิบสองตํานาน
๑. มงคลสูตร
๒. รตนปริตร (มักเรียก รตนสูตร)
๓. เมตตปริตร (มักเรียก กรณียเมตตสูตร)
๔. ขันธปริตร มี ฉัททันตปริตรตาม
๕. โมรปริตร
๖. วัฏฏกปริตร
๗. ธชัคคปริตร (มักเรียก ธชัคคสูตร)
๘. อาฏานาฏิยปริตร
๙. อังคุลิมาลปริตร
๑๐. โพชฌังคปริตร
๑๑. อภยปริตร (มีขึ้นในยุคหลัง)
๑๒. ชยปริตร (มีขึ้นในยุคหลัง)
(พึงทราบวา องฺคุลิมาลปริตฺต และ โพชฺฌงฺคปริตฺต นั้น เรียกเปนภาษาไทย วา อังคุลิมาลปริตร หรือองคุลิมาลปริตร และโพชฌังคปริตร หรือโพชฌงคปริตร ก็ได ยังไมมีกําหนดเปนยุติ)
๘) โดยเครื่องประกอบเสริม: อยางที่ไดกลาววา นอกจากตัวปริตรเองแลวมีบทสวดเสริมประกอบที่แตงหรือจัดเติม เพิ่มขึ้นมาตามกาลเวลาอีกมาก ใชสวดนํากอนก็มี สวดแทรกก็มี สวดตอทายก็มี เชน กอนเริ่มสวด ก็มีการชุมนุมเทวดา คือกลาวคําเชิญชวนเทวดามาฟง เรียกวามาฟงธรรมหรือมาฟงพุทธวจนะ และเมื่อเริ่มสวด กอนจะถึงตัวพระปริตร ก็สวดตนตํานาน ซึ่งมีประมาณ ๔ บท แลวจึงสวดตัวตํานานคือพระปริตรไป ตามลําดับ ครั้นจบปริตรทั้งหมดแลว ก็สวดทายตํานาน ทํานองบทแถมอีก จํานวนหนึ่ง (อาจจะถึง ๑๐ บท) เสร็จแลวจึงเปนอันจบการสวด
ยิ่งกวานั้น ถามีเวลาที่จะสวดอยางเต็มพิธีจริงๆ นอกจากชุมนุมเทวดา (เรียกวาขัดนํา) ตอนจะเริ่มสวดแลว ในชวงที่สวดตัวตํานาน ก็มีการขัดตํานาน แทรกคั่นไปตลอดดวย คือ ระหวางที่สวดปริตรหนึ่งจบแลว กอนจะสวดปริตรลําดับตอไป ก็หยุดใหหัวหนา (บัดนี้นิยมใหรูปที่ ๓ ผูขัดนํา คือรูปที่ชุมนุมเทวดา) ขัดตํานาน คือสวดบท แนะนําใหรูจักปริตรบทที่จะสวดตอไปนั้น (บทขัดของปริตรใด ก็เรียกตามชื่อ ของปริตรนั้น เชน บทขัดมงคลสูตร บทขัดรตนปริตร ฯลฯ ซึ่งบอกใหรูวา ปริตรนั้นเกิดขึ้นมาอยางไร มีคุณหรือ อานิสงสในการสวดอยางไร และเชิญชวนใหสวด) ขัดคั่นอยางนี้ไปจนจบปริตรทั้งหมด, อยางไรก็ตาม ทุกวันนี้ แมแตในพิธีใหญๆ ก็นอยนักที่จะมีการขัดตํานานในการสวดเจ็ดตํานานหรือสิบสองตํานาน เพราะจะทําใหการสวดยาวนานมาก, แตที่ยังนิยมปฏิบัติกันอยูก็ คือ ในกรณีที่มีการสวดบทพิเศษเพิ่มเขามา เชน สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรในงานทําบุญอายุครั้งสําคัญ เมื่อขัดนําตํานาน คือชุมนุมเทวดาแลวก็ตอดวยบทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรติดไปเลย จากนั้นสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และเจ็ดตํานานยอไปจนจบ โดยไมมีการขัดตํานานใดๆ อีก, ที่กลาวมานี้ เปนเรื่องของแบบแผนในพิธีที่เพิ่มขยายขึ้นมาเปนเรื่องของประเพณีและเนื่องดวย สังคม แตผูปฏิบัติในทางสวนตัว เมื่อมุงสาระพึงกําหนดชัดอยูที่ตัวพระปริตร
นอกจากแบบแผนพิธีในการสวดแลว เครื่องประกอบสําคัญที่รูกันดีก็คือ น้ำมนต และสายสิญจน ซึ่งมีมาแตโบราณ แตในคัมภีรภาษาบาลี ทานเรียก วา ปริตโตทก (น้ำปริตร) และปริตตสูตร (สายหรือดายปริตร) ตามลําดับ
รวมแลว ในเรื่องปริตรนี้ ขอสําคัญอยูที่ตองมีจิตใจเปนกุศลนอกจากมี เมตตานําหนาและมั่นในสัจจะบนฐานแหงธรรมแลว ก็พึงรูเขาใจสาระของปริตรนั้นๆ โดยมีกัมมัสสกตาปญญาอันมองเห็นความมีกรรมเปนของตน ซึ่งผลที่ประสงคจะสําเร็จดวยความพากเพียร ในการกระทําของตน เมื่อมีจิตใจโลงเบา สดชื่นผองใสดวยมั่นใจในคุณพระปริตร ที่คุมครองปองกันภัยอันตรายใหแลวก็จะไดมีสติมั่นมีสมาธิแนวมุงหนาทําการ นั้นๆ ใหกาวตอไปดวยความเขมแข็งมีกําลังหนักแนนและแจมใสชัดเจนจนถึง ความสําเร็จ, สําหรับพระภิกษุ ตองตั้งใจปฏิบัติในเรื่องปริตรนี้ตอคฤหัสถดวยจิต เมตตากรุณา พรอมไปกับความสังวร ระวัง มิใหผิดพลาดจากพระวินัย ในแง ดิรัจฉานวิชา และเวชกรรม เปนตน
ดู ภาณยักษ, ภาณวาร