คำศัพท์ :
ธุดงค์ ๑๓ธุดงค 13 (องคคุณเครื่องสลัดหรือกําจัดกิเลส, ขอปฏิบัติเขมงวด ที่สมัครใจ สมาทานประพฤติประจําตัว ชั่วระยะกาลสั้น หรือยาว หรือแมตลอดชีวิต ก็ได เปนอุบายขัดเกลา กิเลส สงเสริมความมักนอยสันโดษ เปนตน — Dhutaïga: means of shaking off or removing defilements; austere practices; ascetic practices)
หมวดที่ 1 จีวรปฏิสังยุตต (เกี่ยวกับจีวร — connected with robes)
1.ปงสุกูลิกังคะ (องคแหงผูถือทรงผาบังสุกุล คําสมาทานโดยอธิษฐานใจหรือเปลงวาจาวา “คหปติจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ, ปสุกูลิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “เรางดคฤหบดีจีวร สมาทานองคแหง ผู—” — Pa§sukålikaïga: refuse-rag-wearer’s practice)
2.เตจีวริกังคะ (องคแหงผู้ถือทรงเพียงไตรจีวร คําสมาทานวา “จตตฺุถจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ, เตจีวริกงคฺํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดจีวรผืนที่ 4 สมาทานองคแหงผู—” —Tecãvarikaïga: triple-robewearer’s practice)
หมวดที่ 2 ปณฑปาตปฏิสังยุตต (เกี่ยวกับบิณฑบาต — connected with almsfood)
3.ปณฑปาติกังคะ (องคแหงผูถือเที่ยวบิณฑบาต คําสมาทานวา “อติเรกลาภํ ปฏิกฺขิปามิ, ปณฺฑปาติกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ ขาพเจางดอติเรกลาภ สมาทานองคแหงผู—” — Piõóapàtikaïga: alms-food-eater’s practice)
4.สปทานจาริกังคะ (องคแหงผูถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามลําดับ คําสมาทานวา“โลลุปฺปจารํ ปฏิกฺขิปามิ, สปทานจาริกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ ขาพเจางดการเที่ยวตามใจอยาก สมาทาน องคแหงผู—” — Sapadànacàrikaïga: house-to-house-seeker’s practice)
5.เอกาสนิกังคะ (องคแหงผูถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียว คือฉันวันละครั้งเดียว ลุกจากที่ แลวไมฉันอีก คําสมาทานวา “นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ, เอกาสนิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดการฉนั ณ ตางอาสนะ สมาทานองคแหงผู—” — Ekàsanikaïga: one-sessioner’s practice)
6.ปตตปณฑิกังคะ (องคแหงผูถือฉันเฉพาะในบาตร คือ ไมใชภาชนะใสอาหารเกิน 1 อยางคือบาตร คําสมาทานวา “ทุติยภาชนํ ปฏิกฺขิปามิ, ปตฺตปณฺฑิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดภาชนะที่สอง สมาทานองคแหงผู—” — Pattapiõóikaïga: bowl-food-eater’s practice)
7.ขลปุจฉาภัตติกังคะ (องคแหงผู้ถือหามภัตที่ถวายภายหลัง คือเมื่อไดปลงใจกําหนดอาหารที่ เปนสวนของตน ซึ่งเรียกวาหามภตั ดวยการลงมือฉันเปนตนแลว ไมรับอาหารที่เขานํามาถวายอกี แมจะเปนของประณตี คําสมาทานวา “อตริติฺตโภชนํ ปฏกิขฺิปามิ, ขลุปจฺฉาภตตฺิกงคฺํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดโภชนะอันเหลือเฟอ สมาทานองคแหงผู—” — Khalupacchà-bhattikaïga: later-food-refuser’s practice)
หมวดที่ 3 เสนาสนปฏิสังยุตต (เกี่ยวกับเสนาสนะ — connected with the resting place)
8.อารัญญิกังคะ (องคแหงผูถืออยูปา อยูหางบานคนอยางนอย 500 ชั่วธนู คือ 25 เสน คํา สมาทานวา “คามนฺตเสนาสนํ ปฏิกฺขิปามิ, อารฺ ิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ ขาพเจางด เสนาสนะชายบาน สมาทานองคแหงผู—” — âra¤¤ikaïga: forest-dweller’s practice)
9.รุกขมูลิกังคะ (องคแหงผู้ถืออยูโคนไม คําสมาทานวา “ฉนนฺํ ปฏกิขฺิปามิ, รกฺุขมลูิกงคฺํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดที่มุงบังสมาทานองคแหงผู—” — Rukkhamålikaïga: tree-rootdweller’s practice)
10. อัพโภกาสิกังคะ (องคแหงผูถืออยูที่แจง คําสมาทานวา “ฉนฺนฺจ รุกฺขมูลฺจปฏิกฺขิปามิ, อพฺโภกาสิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดที่มุงบังและโคนไม สมาทานองคแหงผู—” — Abbhokàsikaïga: open-air-dweller’s practice)
11. โสสานิกังคะ (องคแหงผูถืออยูปาชา คําสมาทานวา “อสุสานํ ปฏิกฺขิปามิ, โสสานิกงคฺํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดทมี่ิใชปาชา สมาทานองคแหงผู—” — Sosànikaïga: charnelground-dweller’s practice)
12. ยถาสันถติกังคะ (องคแหงผู้ถืออยูในเสนาสนะแลวแตเขาจัดให คําสมาทานว่า “เสนาสนโลลปุปฺ ปฏกิขฺิปามิ, ยถาสนฺถติกงคฺํ สมาทิยามิ” แปลว่า “ขาพเจางดความอยากเอาแตใจในเสนาสนะ สมาทานองคแหงผู—” — Yathàsanthatikaïga: any-bed-user’s practice)
หมวดที่ 4 วิริยปฏิสังยุตต (เกี่ยวกับความเพียร — connected with energy)
13. เนสัชชิกังคะ (องคแหงผูถือการนั่ง คือเวนนอน อยูดวยเพียง 3 อิริยาบถ คําสมาทานวา “เสยฺยํ ปฏิกฺขิปามิ, เนสชฺชิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดการนอน สมาทานองคแหงผู—” — Nesajjikaïga: sitter’s practice)
ขอควรทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุดงค 13
ก . โดยย่อธุดงค์ มี 8 ขอ เทานั้น คือ
1) องค์หลัก 3 (สีสังคะ — principal practices) คือ สปทานจาริกังคะ (เทากับไดรักษา ปณฑปาติกังคะดวย) เอกาสนิกังคะ (เทากับได้รักษาปตตปณฑิกังคะ และขลปุจฉาภัตติกังคะ ดวย) และอัพโภกาสิกังคะ (ทําใหรุกขมูลิกังคะ กับยถาสันถติกังคะ หมดความจําเปน)
2) องคเดี่ยวไม คาบเกี่ยวขออื่น 5 (อสัมภินนังคะ — individual practices) คือ อารัญญิกังคะ ปงสุกูลิกังคะ เตจีวริกังคะ เนสัชชิกังคะ และโสสานิกังคะ
ข. โดยนิสสัย คือที่อาศัย (dependence) มี 2 คือ ปจจัยนิสิต 12 (อาศัยปจจัย — dependent on requisites) กับ วิริยนิสิต 1 (อาศัยความเพียร — dependent on energy)
ค . โดยบุคคลผูถือ
1) ภิกษุ ถือไดทั้ง 13 ขอ
2) ภิกษุณี ถือได 8 ขอ (คือ ขอ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 12, 13)
3) สามเณร ถือได 12 ขอ (คือเวนขอ 2 เตจีวริกังคะ)
4) สิกขมานาและสามเณรี ถือได 7 ขอ (คือ ลดขอ 2 ออกจากที่ภิกษุณีถือได)
5) อุบาสก อุบาสิกา ถือได 2 ขอ (คือขอ 5 และ 6)
ง. โดยระดับการถือ แตละขอถือได 3 ระดับ คือ
1) อยางอุกฤษฎ หรืออยางเครง เชน ผูถืออยูปา ตองใหไดอรุณในปาตลอดไป
2) อยางมัธยม หรืออยางกลาง เชนผูถืออยูปา อยูในเสนาสนะชายบานตลอดฤดูฝน 4 เดือนที่เหลืออยูปา
3) อยางอ่อน หรืออยางเพลา เชน ผูถืออยูปา อยูในเสนาสนะชายบานตลอดฤดูฝนและหนาว รวม 8 เดือน
จ . ข้อ 9 และ 10 คือ รุกขมูลิกังคะ และอัพโภกาสิกังคะ ถือไดเฉพาะนอกพรรษา เพราะวินัย กําหนดใหตองถือเสนาสนะในพรรษา
ฉ . ธุดงค์ไมใชบทบัญญัติทางวินัย ขึ้นกับความสมัครใจ มีหลักทั่วไปในการถือวา ถาถือแลวชวย ใหกรรมฐานเจริญ หรือชวยใหกุศลธรรมเจริญ อกุศลธรรมเสื่อม ควรถือ ถาถือแลวทําให กรรมฐานเสื่อม หรือทําใหกุศลธรรมเสื่อม อกุศลธรรมเจริญ ไมควรถือ สวนผูที่ถือหรือไมถือ ก็ไมทําใหกรรมฐานเจริญหรือเสื่อม เชน เปนพระอรหันตแลวอยางพระมหากัสสปะ เปนตน หรือคนอื่นๆ ก็ตาม ควรถือได ฝายแรกควรถือในเมื่อคิดจะอนุเคราะหชุมชนในภายหลัง ฝาย หลังเพื่อเปนวาสนาตอไป
ช. ธุดงค์ที่มาในบาลีเดิ ม ไมพบครบจํานวนในที่เดียว ( ที่พบจํานวนมาก คือ ม.อุ.14/186/138; M.III.40 มีขอ 1, 3, 5, 8, 9, 10, 11, 12, 13; องฺ.ทสก.24/181/245; A.V.219 มีขอ 1, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13; ขุ.ม.29/918/584; Nd1188 มีขอ 1, 2, 3, 4, 7, 8, 12, 13) นอกจากคัมภีรปริวาร (วินย.8/982/330; 1192/475; Vin.V.131,198) ซึ่งมีหัวขอครบถวน สวนคําอธิบายทั้งหมดพึงดูในคัมภีรวิสุทธิมัคค.