คำศัพท์ :
จีวรผ้าที่ใช้นุ่งห่มของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ผืนใดผืนหนึ่ง ในจำนวน ๓ ผืนที่เรียกว่า
ไตรจีวร คือผ้าซ้อนนอกหรือผ้าทาบซ้อน (
สังฆาฏิ) ผ้าห่ม (
อุตราสงค์) และผ้านุ่ง (
อันตรวาสก), แต่ในภาษาไทย นิยมเรียกเฉพาะผ้าห่ม คืออุตราสงค์ ว่าจีวร; จีวรมีขนาดที่กำหนดตามพุทธบัญญัติในสิกขาบทที่ ๑๐ แห่งรตนวรรค (ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๙๒; วินย.
2/776/511) คือ มิให้เท่าหรือเกินกว่าสุคตจีวร ซึ่ง ยาว ๙ คืบ กว้าง ๖ คืบ โดยคืบพระสุคต, ผ้าทำจีวรที่ทรงอนุญาตมี ๖ ชนิด ดังที่ตรัสว่า (วินย.
2/139/193) “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตจีวร ๖ ชนิด คือ
โขมะ จีวรผ้าเปลือกไม้ ๑
กัปปาสิกะ จีวรผ้าฝ้าย ๑
โกเสยยะ จีวรผ้าไหม ๑
กัมพละ จีวรผ้าขนสัตว์ (ห้ามผมและขนมนุษย์) ๑
สาณะ จีวรผ้าป่าน ๑
ภังคะ จีวรผ้าของในห้าอย่างนั้นเจือกัน ๑”; สีต้องห้ามสำหรับจีวร คือ (วินย.
5/169/234)
นีลกะล้วน (สีเขียวคราม)
ปีตกะล้วน (สีเหลือง)
โลหิตกะล้วน (สีแดง)
มัญเชฏฐก์ล้วน (สีบานเย็น)
กัณหะล้วน (สีดำ)
มหารงครัตต์ล้วน (สีแดงมหารงค์ อรรถกถาอธิบายว่าสีอย่างหลังตะขาบ แปลกันมาว่าสีแสด)
มหานามรัตต์ล้วน (สีแดงมหานาม อรรถกถาอธิบายว่าสีแกมกัน อย่างสีใบไม้เหลือง บ้างว่าสีกลีบดอกปทุมอ่อน แปลกันมาว่าสีชมพู) ทั้งนี้ สีที่รับรองกันมา คือสีเหลืองเจือแดงเข้ม หรือสีเหลืองหม่นเช่นสีย้อมแก่นขนุน ที่เรียกว่าสีกรัก
จีวรนั้น พระพุทธเจ้าโปรดให้พระอานนท์ออกแบบจัดทำตามรูปนาของชาวมคธ (วินย.5/149/202) ทำให้มีรูปลักษณ์เป็นระเบียบแบบแผน โดยทรงกำหนดให้เป็นผ้าที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ นำมาเย็บประกอบกันขึ้นตามแบบที่จัดวางไว้ชิ้นทั้งหลายมีชื่อต่างๆ เป็น กุสิ อัฑฒกุสิมณฑล อัฑฒมณฑล วิวัฏฺฏะ อนุวิวัฏฺฏะ คีเวยยกะ ชังเฆยยกะ พาหันตะ ทั้งนี้เมื่อเป็นผ้าที่ถูกตัด ก็จะเป็นของเศร้าหมองด้วยศัสตรา คือมีตำหนิ เสียรูป เสียความสวยงาม เสื่อมค่า เสียราคาสมควรแก่สมณะ และพวกคนที่ประสงค์ร้ายไม่เพ่งจ้องอยากได้
มีพุทธบัญญัติว่า (วินย.5/97/137) จีวรผืนหนึ่งๆ ต้องตัดเป็นปัญจกะ (มีส่วนประกอบห้าชิ้น หรือห้าผืนย่อย, ชิ้นใหญ่หรือผืนย่อยนี้ ต่อมาในชั้นอรรถกถา เรียกว่า “ขัณฑ์” จึงพูดว่าจีวรห้าขัณฑ์) หรือเกินกว่าปัญจกะ (พูดอย่างอรรถกถาว่า มากกว่า ๕ ขัณฑ์ เช่นเป็น ๗ ขัณฑ์ ๙ ขัณฑ์ หรือ ๑๑ ขัณฑ์)
ตามพุทธบัญญัติเดิมนั้น จีวรทั้ง ๓ (คือ สังฆาฏิ อุตราสงค์ และอันตรวาสก) ต้องเป็นผ้าที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ นำมาเย็บประกอบกันขึ้นอย่างที่กล่าวข้างต้น แต่ภิกษุบางรูปทำจีวร เมื่อจะให้เป็นจีวรผ้าตัดทุกผืน ผ้าไม่พอ จึงเป็นเหตุปรารภให้มีพุทธานุญาตยกเว้นว่า (วินย.5/161/219) “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตจีวรผ้าตัด ๒ ผืน จีวรผ้าไม่ตัด ๑ ผืน” เมื่อผ้ายังไม่พอ ก็ตรัสอนุญาตว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตจีวรผ้าไม่ตัด ๒ ผืน จีวรผ้าตัด ๑ ผืน” ถึงอย่างนั้น ก็มีกรณีที่ผ้ายังไม่พออีก จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เพิ่มผ้าเพลาะ แต่ผ้าไม่ตัดเลยหมดทุกผืน ภิกษุไม่พึงใช้ รูปใดใช้ต้องอาบัติทุกกฏ”
ในสมัยต่อมา นิยมนำคำว่า “ขัณฑ์” มาใช้เป็นหลักในการกำหนดและเรียกชื่อส่วนต่างๆ ของจีวร ทำให้กำหนดง่ายขึ้นอีก ดังได้กล่าวแล้วว่า จีวรมีอย่างน้อย ๕ ขัณฑ์ คือ จีวรที่มีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าผืนหนึ่งนี้ เมื่อคลี่แผ่ออกไปตามยาว จะเห็นว่ามีขัณฑ์ คือผ้าผืนย่อยขนาดประมาณเท่าๆ กัน ยาวตลอดจากบนลงล่าง ๕ ผืน เรียงต่อกันจากซ้ายไปสุดขวา ครบเป็นจีวร ๑ ผืน; ขัณฑ์ทั้ง ๕ นี้ แต่ละขัณฑ์มีส่วนประกอบครบในตัว คือ มี ๒ กระทง ได้แก่ กระทงใหญ่ เรียกว่ามณฑล กับกระทงเล็ก (ราวครึ่งของกระทงใหญ่) เรียกว่า อัฑฒมณฑล, ระหว่างมณฑลกับอัฑฒมณฑล มีเส้นคั่นดุจคันนาขวาง เรียกว่าอัฑฒกุสิ, มณฑล กับอัฑฒมณฑล และอัฑฒกุสิ รวมเป็นขัณฑ์หนึ่ง โดยมีเส้นคั่นระหว่างขัณฑ์นั้น กับขัณฑ์อื่น อยู่สองข้างของขัณฑ์ ดุจคันนายืน เรียกว่า กุสิ, เมื่อรวมเป็นจีวรครบผืน (นิยมเรียงขัณฑ์ที่ต่อกัน ให้ด้านมณฑลกับด้านอัฑฒมณฑลสลับกัน) มีผ้าขอบจีวรทั้งสี่ด้าน เรียกว่า อนุวาต (แปลว่าพลิ้วตามลม, อนุวาตก็เป็นกุสิอย่างหนึ่ง); ขัณฑ์แต่ละขัณฑ์มีชื่อเรียกเฉพาะต่างกันไป (ตามคำอธิบายของอรรถกถา วินย.อ.๓/๒๓๖) คือ ขัณฑ์กลาง ชื่อวิวัฏฏะ (แปลตามศัพท์ว่า คลี่ขยายออกไป), ขัณฑ์ที่อยู่ข้างวิวัฏฏะทั้งสองด้าน ชื่ออนุวิวัฏฏะ (แปลตามศัพท์ว่าคลี่ขยายไปตาม), ขัณฑ์ที่อยู่ขอบนอกทั้งสองข้าง ชื่อพาหันตะ (แปลว่าสุดแขน หรือปลายพาดบนแขน) นี้สำหรับจีวร ๕ ขัณฑ์, ถ้าเป็นจีวรที่มีขัณฑ์มากกว่านี้ (คือมี ๗ ขัณฑ์ขึ้นไป) ขัณฑ์ทุกขัณฑ์ที่อยู่ระหว่างวิวัฏฏะกับพาหันตะ ชื่อว่าอนุวิวัฏฏะทั้งหมด (บางทีเรียกให้ต่างกันเป็น จูฬานุวิวัฏฏ์ กับมหานุวิวัฏฏ์); นอกจากนี้ มีแผ่นผ้าเย็บทาบเติมลงไปตรงที่หุ้มคอ เรียกว่า คีเวยยกะ และแผ่นผ้าเย็บทาบเติมลงไปตรงที่ถูกแข้ง เรียกว่า ชังเฆยยกะ (นี้ว่าตามคำอธิบายในอรรถกถา แต่พระมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในหนังสือวินัยมุข เล่ม ๒ ว่า ในจีวรห้าขัณฑ์ๆ กลาง ชื่อคีเวยยกะ เพราะเมื่อห่มจีวร อัฑฒมณฑลของขัณฑ์นั้นอยู่ที่คอ, ขัณฑ์ถัดออกมาทั้ง ๒ ข้าง ชื่อชังเฆยยกะ เพราะอัฑฒมณฑลของ ๒ ขัณฑ์นั้น อยู่ที่แข้งในเวลาห่ม, ขัณฑ์ถัดออกมาอีกทั้ง ๒ ข้าง ชื่อพาหันตะ เพราะอัฑฒมณฑลของ ๒ ขัณฑ์นั้น อยู่ที่แขนในเวลาห่ม); ต่อมา มีเหตุการณ์อันเป็นกรณีต่างหาก ซึ่งเป็นข้อปรารภให้ทรงอนุญาตลูกดุม (คัณฐิกา) และรังดุม (ปาสกะ) (วินย.7/166/65)
ดู ไตรจีวร, ขัณฑ์