ไปยังหน้า : |
ทวนความเล็กนอยวา สิกขาคือการศึกษา มีขึ้นไวใหคนเอามาปฏิบัติ เพื่อจะไดพัฒนามรรคคือมรรคาชีวิต 1131 ผูที่จบการศึกษาแลว ก็เปน สิกขิตสิกขา (ศึกษิตศึกษา) ผูที่เสร็จการพัฒนามรรค ก็เปนภาวิตมัคค/ภาวิตมรรค นี่ก็คือพระอรหันต ซึ่งเปน อเสขะ ไมตองศึกษาอีกตอไป
คําทั้งหลายที่วามานี้ ไมตองติดใจ เพียงยกมาใหดูผานๆ ไป เพียงแตขอใหสังเกตคําวา “ภาวิต” ที่แปลวา ภาวนาแลว คือพัฒนาแลว
ยอนมาดูสิกขา คือการศึกษา ที่แยก ๓ ดาน เปนไตรสิกขา ไดแก อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปญญาสิกขา ซึ่งเรียกสั้นๆ วา ศีล สมาธิ ปญญา นั้น ไดทําความเขาใจกันมาแลวพอมองเห็นหลัก
ในที่นี้ จะขอใหสังเกตที่คําวา “ศีล” ซึ่งยังมีความหมายที่ควรรูเขาใจเพิ่มขึ้นอีก
ตามที่เขาใจและใหความหมายกันทั่วๆ ไป ศีล คือความประพฤติดี พฤติกรรมการแสดงออกทางกาย วาจา ที่ สุจริตและเกื้อกูล ตามความหมายนี้ จุดสังเกตอยูที่วา เรามักมองศีลในขอบเขตของศีลพื้นฐาน ที่เรียกกันวาศีล ๕ ซึ่งเปนเรื่องของพฤติกรรมทางกายวาจา ในการอยูรวมกัน คือในความสัมพันธทางสังคม ที่ไมเบียดเบียนกัน
แตที่จริง ความหมายของศีล มิใชจํากัดแคนี้
จุดสังเกตคือคําวา “กาย-วาจา” และ “ในความสัมพันธทางสังคม”
- กาย และวาจา เปนชองทางแสดงออก ชองทางทําการทํากรรม คําพระเรียกวา กรรมทวาร แตทวารมิใช แคนี้ ยังมีอีก
- ความสัมพันธทางสังคมนั้น เปนความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม จําพวกหนึ่ง คือสิ่งแวดลอมทางสังคม แต สิ่งแวดลอมมิใชมีแคนี้ ยังมีอยางอื่นอีก
ขอใหดูวา แทจริงนั้น
ก) ทวาร คือชองทางติดตอกับโลกมี ๒ ชุด คือ
๑. กรรมทวาร ชองทางทําการ ทํากรรม มี ๓ คือ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร ศีล ๕ เปนเรื่องของ การสื่อสารทําการตอโลกขางนอก จึงหมายเฉพาะ กายทวาร และวจีทวาร
๒. ผัสสทวาร ชองทางรับรู-เรียนรู ไดแกอินทรีย ๖ คือ จักขุ-ตา โสตะ-หู ฆานะ-จมูก ชิวหา-ลิ้น กายกาย มโน-ใจ