| |

ปฏิจจสมุปบาทนี้บางทีเรียกชื่อควบว่า อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท”*2 เข้ากับคำตรัสที่แสดงหลักกลางหรือหลักทั่วไปก่อน แล้วตามด้วยหลักแจกแจง ดังที่ตรัสว่า (ขุ.อุ.25/40/75)

อิติ      อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ

          อิมสฺมิํ อสติ อิทํ น โหติ, อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ

ยทิทํ    อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ฯเปฯ

           อวิชฺชาย...นิโรธา สงฺขารนิโรโธ, สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณ...ฯเปฯ

ดังที่ว่า   เมื่อนี้มี นี้จึงมี, เพราะนี้เกิดขึ้น นี้จึงเกิดขึ้น

           เมื่อนี้ไม่มี นี้ก็ไม่มี, เพราะนี้ดับ นี้ก็ดับ

กล่าวคือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี, เพราะสังขารเป็นปัจจัย....

            เพราะอวิชชา....ดับ สังขารจึงดับ, เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ....

กระบวนการของความเป็นไปตามเหตุปัจจัยนี้ มีอยู่เป็นไปตามธรรมดาของธรรมชาติ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ขึ้นต่อการเกิดการมีพระพุทธเจ้า พระศาสดา หรือผู้วิเศษใดๆ ดังที่พระพุทธเจ้าหลังตรัสรู้แล้ว เมื่อทรงประกาศธรรม เคยตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า*3

ตถาคตทั้งหลาย*4 จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุ (หลัก)นั้น ก็มีอยู่คงอยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติ) คือ อิทัปปัจจยตา

ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่าย และจึงตรัสว่า “จงดูสิ”

“เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯลฯ”

ในเรื่องนี้ พึงรู้ทันความจำกัดของภาษาด้วย เช่น กริยาว่ามี ก็หมายถึงเป็นด้วย เช่นที่ว่า “อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี” นี้ อวิชชา คือไม่มีวิชชา ไม่รู้แจ้ง ยังไม่รู้ความจริงแท้ ก็คือครอบคลุมความรู้ที่ยังไม่ถึงความจริงแท้ตั้งต้นแต่รู้ผิดเข้าใจผิด รู้ถูกเข้าใจถูก ความหมายจึงมิใช่แค่ว่า มี-ไม่มี แต่คลุมไปถึงว่า มีอวิชชาให้รู้แค่ไหน-ไม่รู้แค่ไหน อย่างไร ในลักษณะใด ก็เป็นปัจจัยให้สังขารความคิดปรุงแปรแต่งสรรเป็นอย่างนั้นๆ ได้-ถึงแค่นั้น ในลักษณะอาการอย่างนั้นๆ ดังนี้เป็นต้น

ในข้ออื่นๆ ต่อๆ ไป ที่ว่าสังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป ฯลฯ ก็พึงเข้าใจทำนองนี้ ไม่ใช่มองแค่ว่ามี-ไม่มี

จากกฎทั่วไปว่า “เมื่อนี้มี นี้จึงมี...”นั้น พระพุทธเจ้าทรงไขความโดยแสดงปัจจยาการหลักกลางไว้คือปัจจยาการแห่งการเกิดทุกข์เกิดปัญหา -ดับทุกข์ดับปัญหาของชีวิตมนุษย์ เรียกง่ายๆ ว่าปัจจยาการของชีวิต ซึ่งมิใช่แค่เป็นเรื่องใกล้ชิดที่สุด ติดอยู่กับตัวในตัวของมนุษย์ เป็นประจำยืนตัว อยู่กับมนุษยชาติ คู่กับความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่เป็นการรู้จักตัวเองของมนุษย์ที่เป็นกระบวนการของธรรมชาติซึ่งมีพร้อมทั้งรูปธรรมและนามธรรมรวมทั้งโลกอยู่ในตัวนี้เป็นฐานไว้ อันจำเป็นก่อนอื่น ในการที่จะก้าวออกไปมองดูรู้เข้าใจและปฏิบัติจัดการกับโลกที่กว้างออกไปไม่จบสิ้น

ปัจจยาการที่เป็นกระบวนการแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัยซึ่งขยายวงกว้างออกไปของมนุษย์ ก็คือปัจจยาการทางสังคม แต่ในขั้นหรือระดับนี้ เหตุปัจจัยไม่อยู่แค่แดนของธรรมชาติ แต่ออกมาสู่แดนแห่งสมมติบัญญติด้วย ซึ่งมีปัจจัยด้านต่างกาลเทศะเข้ามาสัมพันธ์ จึงมิใช่เรื่องที่จะแสดงกระบวนการไว้ได้ยืนตัว


เกี่ยวกับพุทธธรรมออนไลน์ (Disclaimer)
"เนื้อหาที่เผยแพร่ในระบบ "พุทธธรรม ออนไลน์" นี้ เป็นเนื้อหาที่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมหลังการพิมพ์ครั้งที่ ๕๓ เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยยังมิได้ผ่านการตรวจสอบของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประกอบกับหนังสือพุทธธรรมนี้ มีการปรับปรุงเพิ่มเติมเป็นระยะ แม้ระบบ "พุทธธรรม ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

  |