| ไปยังหน้า : |
คนชีวิตหนึ่งๆ นี้ เป็นชุมนุมของส่วนประกอบมากมาย ซึ่งจัดแยกเป็นกลุ่มเป็นกองเป็นหมวดหมู่ที่เรียกว่า ขันธ์นี้ได้ ๕ ขันธ์ (นิยมเรียกกันว่า ขันธ์ ๕ หรือเบญจขันธ์) หมวดหรือกองสังขารที่พูดถึงเมื่อกี้ นับเป็นขันธ์ที่ ๔ เรียกว่าสังขารขันธ์ การที่จะรู้จักคน เข้าใจชีวิตได้ชัด ควรต้องรู้จักขันธ์ ๕ นี้ไว้เป็นฐานความเข้าใจ ขันธ์ ๕ หรือเบญจขันธ์ มีรูปธรรม ๑ ขันธ์ และนามธรรม ๔ ขันธ์ คือ
๑.รูปขันธ์ กองรูป คือร่างกาย ซึ่งเกิดจากรูปธรรมที่ประกอบมากมาย
๒.เวทนาขันธ์ กองเวทนา คือการเสพเสวยความรู้สึกสุข-ทุกข์-ไม่สุขไม่ทุกข์
๓.สัญญาขันธ์ กองสัญญา คือการกำหนดหมายประดาข้อมูลที่เก็บประมวล
๔.สังขารขันธ์ กองสังขาร คือความดีความชั่วและประดาคุณสมบัติที่ประกอบเจตนาในการปรุงแปรความคิดนึกพูดจาและทำการทั้งหลาย
๕.วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ คือความรู้พื้นยืนโรงให้นามขันธ์ทั้งหลายทำงานได้ คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัสกาย และรู้เรื่องในใจ
ขันธ์ ๕ นี้เป็นเนื้อเรื่องที่จะอธิบายเป็นบทหนึ่งโดยเฉพาะข้างหน้า แต่ในที่นี้ขอเน้นความสำคัญไว้ก่อนว่า ขันธ์ ๕ นี้แหละคือสภาวธรรมที่เกิดมีเป็นไปตามเหตุปัจจัยในกระบวนปัจจยาการของชีวิต ที่ได้กล่าวถึงข้างต้น ดังที่ได้บอกแล้วว่า ปัจจยาการที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้เป็นกระบวนหลัก คือปัจจยาการของชีวิต ซึ่งก็คือปัจจยาการของขันธ์ ๕ นั่นเอง ดังที่มีบอกในคัมภีร์ว่า ปฏิจจสมุปบาท หรือปัจจยาการ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นแบบไว้ ก็คือความเป็นไปของขันธ์ ๕*8 หรือพูดอีกสำนวนหนึ่งว่า ก็คือขันธ์ ๕ ในขณะทำงาน ที่ชีวิตเป็นไป หรือดำเนินชีวิตอยู่นี่เอง
ขอเน้นย้ำความสำคัญของสังขารที่เป็นขันธ์อยู่ในชีวิตของคนนี้ว่า ด้วยสังขารที่เป็นนามธรรม ซึ่งทำงานปรุงแต่งอยู่ในใจนี่แหละ คนจึงรู้จักและคิดนึกทำการต่างๆ ต่อสังขารทั้งหลายทั้งปวงทั่วโลกทั่วจักรวาล ทั้งรูปธรรมและนามธรรม อันเป็นสังขตธรรมที่ได้กล่าวแล้ว มนุษย์จะมองเห็นคิดเห็นและปฏิบัติจัดการอะไรอย่างไรกับโลกของสังขาร ก็ขึ้นอยู่กับการแต่งสรรของสังขารในใจของเขานี้เอง
การเกิดมีขึ้นและเป็นไปต่างๆ ของสังคมมนุษย์ซึ่งดำเนินไปตามสมมติบัญญัติ ทำให้มีความเจริญความเสื่อมประสบวิบัติหรือพัฒนาการ เป็นยุคสมัย ก็ดี การปฏิบัติจัดการกับโลกของสิ่งแวดล้อม ทั้งธรรมชาติและบรรดาวัตถุธรรม ในทางสร้างสรรค์ส่งเสริมบ้าง ทำลายล้างผลาญบ้าง ก็ดี ที่ว่าเกิดจากการกระทำของมนุษย์นั้น ก็เป็นไปด้วยการขับเคลื่อนของสังขารที่เป็นแหล่งผลิตความคิด คำพูด และการกระทำของมนุษย์ที่กล่าวมานี้ ดังนั้น เมื่อตกลงว่าจะต้องทำการพัฒนามนุษย์ ก็พึงเข้าใจว่าการพัฒนามนุษย์นั้นมีศูนย์รวมอยู่ที่การพัฒนาสังขารในตัวมนุษย์นั้น ที่จะให้ปัญญาที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ขึ้นมาเป็นตัวนำทำการนั่นเอง
ปัจจยาการของชีวิตนั้นเริ่มต้นว่า “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา...” เมื่ออวิชชายังคงอยู่มีอยู่ในขีดระดับแนวทางลักษณะอาการอย่างไรโดยสัมพัทธ์กับปัญญาที่พัฒนาขึ้นอย่างไรหรือไม่แค่ไหน คนก็มีสังขารที่จะใช้ปรุงแปรแต่งสรรกรรมในการคิดการพูดจาประกอบกิจปฏิบัติจัดการทั้งหลายได้ในขอบเขตแนวทางและในลักษณะอาการอย่างนั้นแค่นั้น
ดังนั้น การปฏิบัติจัดการที่ฐานตรงจุดเริ่มต้น ในปฏิโลมปัจจยาการอันเป็นฝ่ายแก้ไข จึงได้แก่การลดละอวิชชา ด้วยการพัฒนาปัญญาที่จะก้าวขยายไปเป็นวิชชา เมื่อปัญญาพัฒนาขึ้นไป ได้สัมมาทิฏฐิขึ้นมา ปัญญานั้นซึ่งเป็นสังขารตัวสำคัญยิ่งใหญ่อยู่ในสังขารขันธ์ ก็จะทำหน้าที่ปรับแปรแก้ไขชี้นำส่องทางตลอดจนขยายวิสัยให้แก่กระบวนหรือกองกำลังทำงานในการคิดพูดทำ ที่มีเจตนาหรือเจตจำนงเป็นหัวหน้า พาให้ทำการคือกรรมที่เป็นคุณเป็นกุศลก่อผลที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์มากขึ้นๆ