ไปยังหน้า : |
เป็น “สภาวธรรม” (สิ่งที่มีภาวะของมัน ไม่เป็นของใคร ไม่ขึ้นต่อใคร)*7 ดังเช่น น้ำ ไฟ กาย ใจ ตา หู รูป เสียง กลิ่น ดิน ลม
แต่ถึงจะอย่างไรก็ตาม “ธรรม” ก็ยังเป็นคำที่ใช้เป็นสามัญที่สุด เมื่อธรรมมีความหมายครอบคลุมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จึงมาจัดแบ่งแยกประเภทสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ด้วยคำว่า “ธรรม” นี้ อย่างที่รู้จักกันดีที่สุดซึ่งพบมาแล้ว ก็คือ แยกเป็นรูปธรรม และนามธรรม (หรือรูปธรรม และอรูปธรรม)
-สังขตธรรม -สังขาร อสังขตธรรม-วิสังขาร
การแยกประเภทของธรรมอีกแบบหนึ่ง ซึ่งสำคัญยิ่งสำหรับการศึกษาในที่นี้ เพราะเกี่ยวกับเรื่องเหตุปัจจัยคือ แบ่งเป็นสังขตธรรม กับอสังขตธรรม
สังขตธรรม คือ สิ่งที่ปัจจัยทำหรือสร้างขึ้น (แปลตามสำนวนนิยมว่า สิ่งที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง) ก็คือ สิ่งที่เป็นไปตามปัจจยาการนั่นเอง
ส่วนอสังขตธรรม ก็คือสิ่งหรือสภาวะที่ไม่ถูกปัจจัยทำขึ้นสร้างขึ้นหรือปรุงแต่งขึ้น แต่ตามที่รู้ที่พูดกันมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องเกิดมีและเป็นไปตามเหตุปัจจัย อยู่ในกระบวนของปัจจยาการทั้งนั้น แล้วจะมีอะไรที่ไม่ขึ้นต่อปัจจัย ไม่เป็นไปตามปัจจยาการ ตอบว่าสิ่งนั้นมีอย่างเดียว ก็คือสภาวะที่สิ้นปัจจัย (เป็นปัจจยักขัย) เมื่อหมดสิ้นปัจจัย ไม่มีปัจจัย ก็ไม่ถูกปัจจัยทำสร้างหรือปรุงแต่ง คือพ้นจากปัจจยาการ จึงเป็นอสังขตธรรม เรียกง่ายๆ ว่า อสังขตะ มีชื่อเรียกได้อีกหลายอย่าง แต่ที่ใช้เป็นหลัก เรียกว่า นิพพาน
ตรงนี้ มีคำที่ควรรู้จักแทรกเข้ามา ซึ่งควรทราบไว้ด้วยเพื่อป้องกันความสับสน คือคำว่า “สังขาร” ก็คือสังขตธรรมนั่นเอง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าสังขาร ทั้งสังขารและสังขตธรรม มีความหมายอย่างเดียวกัน มาจากรากศัพท์เดียวกัน เป็นเพียงรูปศัพท์ที่ยักเยื้องไปตามวิธีการของภาษา เป็นอันว่า สังขตธรรม หรือสังขาร ก็คือสิ่งหรือสภาวธรรมซึ่งถูกปัจจัยทำสร้างปรุงแต่งขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม อันต้องเป็นไปตามปัจจยาการ
เมื่อสังขตธรรมมีชื่อเรียกอย่างหนึ่งว่า สังขาร อสังขตธรรมก็มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งซึ่งเข้าคู่กับสังขาร ว่า “วิสังขาร” ซึ่งก็แปลง่ายๆ ว่า ปลอดหรือปราศจากสังขาร หรือพ้นไปจากสังขาร คือไม่ถูกปัจจัยทำสร้างปรุงแต่งนั่นเอง
ทีนี้ ที่จะต้องป้องกันความสับสนอย่างสำคัญก็คือว่า คำว่า“สังขาร” ที่มีความหมายกว้างขวางใหญ่โตครอบคลุมรูปธรรมและนามธรรมทุกอย่างที่เกิดมีเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตรงกับคำว่าสังขตธรรมนั้น ได้ถูกใช้ในอีกความหมายหนึ่งที่ต่างออกไปห่างไกล จึงต้องรู้จักเข้าใจไว้ และแยกจากกันให้ได้
-โลกสังขาร ภายใต้การมองเห็นและการจัดการโดยสังขารในใจคน
“สังขาร” ในอีกความหมายหนึ่งที่ต่างออกไปห่างไกลนั้น เป็นจำพวกนามธรรมซึ่งเป็นส่วนประกอบอยู่ในชีวิตของคน เป็นชุมนุมเป็นกลุ่มเป็นหมวดเป็นกอง เป็นที่รวมของบรรดาสภาวะทั้งที่ร้ายและที่ดีในจิตใจ อันมีเจตจำนงหรือเจตนาเป็นประธาน เป็นตัวนำ ทำหน้าที่ปรุงแปรแต่งสรรสภาพจิตความคิดนึกตลอดจนการแสดงออกเป็นพฤติกรรมการกระทำของมนุษย์ เป็นระบบความคิดและกระบวนพฤติกรรมของเขา พูดสั้นๆ ว่า ปรุงแต่งใจให้ดีหรือชั่ว ปรุงแต่งการคิด การพูด การกระทำ ที่เรียกรวมๆ ว่า “กรรม” สภาวะดีร้ายและไม่ดีไม่ร้ายในใจทั้งหมดนี้ อันมีเจตนาหรือเจตจำนงเป็นแกนนำ เรียกรวมๆ ว่า “สังขาร”
ได้บอกแล้วว่า สังขารที่เป็นนามธรรมอยู่ในใจนี้ มีมากมาย ดังที่ว่าเป็นกลุ่มเป็นกองหรือเป็นหมวด คำว่าหมวดหรือกองนี้ ภาษาบาลีเรียกว่า “ขันธ์” คือเป็นชุมนุมส่วนประกอบหมวดหนึ่งหรือกองหนึ่ง ซึ่งมาประชุมประสานกับขันธ์คือชุมนุมส่วนประกอบหมวดหรือกองอื่นๆ รวมกันเป็นคนที่เป็นชีวิตหนึ่งๆ นี้