| |

ตถาคตทั้งหลาย จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุ (หลัก) นั้น ก็มีอยู่คงอยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติ) ว่า

๑. สังขารทั้งปวง เป็นอนิจจา (ไม่เที่ยง)....

๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกขา (คงทนอยู่ไม่ได้)......

๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา (ไม่เป็นไม่มีตัวตน)....

ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่ายว่า “สังขารทั้งปวง เป็นอนิจจา...สังขารทั้งปวง เป็นทุกขา... ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา*9

กฎ ๓ ข้อ คือ อนิจจตา ทุกขตา และ อนัตตตา นี้ พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสชื่อเรียกรวมไว้ แต่ในอรรถกถาเป็นต้นมาเรียกว่า “ไตรลักษณ์” แปลว่า ลักษณะ ๓ ของประดาธรรม แต่มีความหมายครอบคลุมไม่เท่ากัน

ข้อที่ ๑ ว่า สังขารทั้งปวง คือ สังขตธรรมทั้งปวง รวมหมดขันธ์ทั้ง ๕ เป็นอนิจจา ไม่เที่ยง คือ มีแล้วไม่มี มีขึ้นแล้วดับหาย เกิดมีแล้วดับสลาย (หุตวา-อภาวะ)

ข้อที่ ๒ ว่า สังขารทั้งปวง คือ สังขตธรรมทั้งปวง รวมหมดขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกขา คงทนอยู่ไม่ได้ คือ ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายไป (อุทยัพพยปฏิปีฬิตะ)

ข้อที่ ๓ ว่า ธรรมทั้งปวง คือ ทั้งสังขตธรรม และอสังขตธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นอนัตตา ไม่เป็นไม่มีตัวตน คือ ไม่เป็นไปในอำนาจ ไม่อยู่ใต้อำนาจครอบครองของใคร ที่จะสั่งบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาได้ (อวสวัตตนะ)

ลักษณะที่ ๓ คือ อนัตตา ไม่เป็นไม่มีตัวตนอะไรเป็นเจ้าของครอบครองบังคับสั่งการบัญชาให้เป็นไปอย่างไรๆ อย่างที่ต้องการได้นี้ เป็นลักษณะที่ครอบคลุมหมด จะว่าเป็นลักษณะพื้นฐานก็ได้ ดังคำเรียกสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่า “สภาวะ” คือมีภาวะของมัน ซึ่งก็คือไม่เป็นของใคร ไม่ขึ้นต่อใคร

กฎธรรมชาติชุดไตรลักษณ์นี้ ก็คืออีกด้านหนึ่งของกฎแห่งปัจจยาการนั่นเอง เมื่อสิ่งทั้งหลายมีอาการที่เป็นไปตามปัจจยาการแห่งเหตุปัจจัย มันก็มีลักษณะเป็นอนิจจา เป็นทุกขา เป็นอนัตตา

เริ่มแต่พื้นฐานที่ว่านี้ คือ สิ่งทั้งหลายมีภาวะของมันเอง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีภาวะของมัน ที่เกิดจากเหตุปัจจัย เป็นไปตามเหตุปัจจัย ถ้าอัตตามีจริง สิ่งทั้งหลายก็ไม่ต้องและไม่อาจเป็นไปตามเหตุปัจจัยแต่เมื่อสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย อัตตาก็ไม่อาจจะมี

เมื่อมองเห็นสิ่งนั้นๆ เป็นเพียงภาพรวมแห่งชุมนุมขององค์ประกอบหรือส่วนย่อยหลากหลายมากมาย ที่เกิดมีและดับสลายสัมพันธ์กันเป็นไปอยู่ในกระบวนของปัจจยาการ ความเป็นตัวตนอัตตาของสิ่งนั้นๆ ก็หายไป เหมือนอย่างกำปั้นมีเพราะกำมือ พอแบมือเหยียดนิ้วออกไป กำปั้นก็หายหมด หมัดก็ไม่มี

อะไรๆ ที่เป็นสังขตธรรม เป็นสังขาร ก็เกิดมีและเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ไม่เป็นไปตามความต้องการหรือตามการสั่งบังคับของใคร (ถ้าใครจะให้มันเป็นไปอย่างไรๆ ตามที่ตัวปรารถนา ก็ต้องเรียนรู้สืบค้นเหตุปัจจัยที่จะให้มันเป็นอย่างนั้น แล้วปฏิบัติจัดการที่เหตุปัจจัยนั้นๆ จะเอาตัวปรารถนาไปสั่งการบัญชามันไม่ได้)

ส่วนสภาวะที่เป็นปัจจยักขัย เป็นอสังขตะ เป็นวิสังขารก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันมีภาวะของมัน ซึ่งไม่มีไม่เป็นไปตามปัจจัยอะไรๆ ใครๆ อะไรๆ จะครอบครองสั่งการบัญชาอะไรอย่างไรไม่ได้ มันก็มีก็เป็นของมันตามธรรมดาอย่างนั้น

ในทางปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิตเป็นอยู่ของมนุษย์ เมื่อมีปัญญารู้เข้าใจความจริงตามธรรมดาของสภาวะแล้วก็รู้จักที่จะปฏิบัติในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง เรียกว่านำความรู้เข้าใจสัจธรรม ในภาคมัชเฌนธรรมเทศนานี้ ไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติจริยธรรม เป็นการดำเนินมรรคาชีวิตในภาคมัชฌิมาปฏิปทา คือรู้ทันว่า การถืออัตตา ตัวตนนั้น เป็นเรื่องของมนุษย์ที่มีความยึดถือด้วยอวิชชาตัณหาอุปาทาน ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริง ถ้าอยู่แค่กับความอยากความยึดนั้น ก็ไม่มีอะไรสำเร็จตามที่ปรารถนา แต่จะต้องเจอกับสภาพฝืนใจที่ย้อนกลับมาบีบคั้นตัวเองให้มีทุกข์อัดอั้นบอบช้ำ


เกี่ยวกับพุทธธรรมออนไลน์ (Disclaimer)
"เนื้อหาที่เผยแพร่ในระบบ "พุทธธรรม ออนไลน์" นี้ เป็นเนื้อหาที่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมหลังการพิมพ์ครั้งที่ ๕๓ เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยยังมิได้ผ่านการตรวจสอบของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประกอบกับหนังสือพุทธธรรมนี้ มีการปรับปรุงเพิ่มเติมเป็นระยะ แม้ระบบ "พุทธธรรม ออนไลน์" พยายามปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด ผู้ศึกษาก็พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือต้นฉบับ ที่มีการพิมพ์ครั้งล่าสุด ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง"

  |